ขณะเป็นผู้เชื่อใหม่ในพระเยซู ฉันหยิบพระคัมภีร์เพื่อการเฝ้าเดี่ยวเล่มใหม่ขึ้นมาและอ่านข้อที่คุ้นเคยว่า “จงขอแล้วจะได้” (มธ.7:7) มีคำอธิบายเขียนไว้ว่า สิ่งที่เราควรทูลขอจากพระเจ้าจริงๆคือขอให้ความตั้งใจของเราสอดคล้องกับน้ำพระทัยของพระองค์ เมื่อเราแสวงหาให้น้ำพระทัยของพระองค์สำเร็จ เราก็มั่นใจได้ว่าเราจะได้รับสิ่งที่ทูลขอ นั่นเป็นแนวคิดใหม่สำหรับฉัน และฉันก็ได้อธิษฐานขอให้น้ำพระทัยของพระเจ้าสำเร็จในชีวิตของฉัน
ต่อมาในวันเดียวกันนั้นเอง ฉันรู้สึกตื่นเต้นอย่างไม่คาดคิดเกี่ยวกับโอกาสในการทำงานที่ฉันได้ปฏิเสธในใจไปแล้ว และฉันก็นึกถึงคำอธิษฐานนั้น บางทีสิ่งที่ฉันไม่คิดว่าตัวเองต้องการอาจเป็นส่วนหนึ่งของน้ำพระทัยพระเจ้าสำหรับชีวิตฉัน ฉันอธิษฐานต่อไปและรับงานนั้นในที่สุด
พระเยซูทรงวางแบบอย่างนี้ให้แก่เราในช่วงเวลาที่จริงจังและมีความสำคัญชั่วนิรันดร์ ก่อนการทรยศและถูกจับไปตรึงกางเขน พระองค์อธิษฐานว่า “พระบิดาเจ้าข้า ถ้าพระองค์พอพระทัย ขอให้ถ้วยนี้เลื่อนพ้นไป... แต่...อย่าให้เป็นไปตามใจข้าพระองค์ แต่ให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์เถิด” (ลก.22:42) คำอธิษฐานของพระคริสต์เต็มไปด้วยความเจ็บปวดและทุกข์ทรมานขณะที่ทรงเผชิญความเจ็บปวดทั้งทางร่างกายและจิตใจ (ข้อ 44) แต่พระองค์ยังทรงสามารถอธิษฐาน “อย่างจริงจัง” (TNCV) เพื่อให้น้ำพระทัยของพระเจ้านั้นสำเร็จ
ให้น้ำพระทัยพระเจ้าสำเร็จได้กลายเป็นคำอธิษฐานสูงสุดของชีวิตฉัน หมายความว่าฉันอาจปรารถนาสิ่งที่ตัวเองไม่รู้ด้วยซ้ำว่าต้องการหรือไม่ งานที่ฉันไม่ต้องการแต่แรกกลับกลายเป็นจุดเริ่มต้นของเส้นทางในสำนักพิมพ์คริสเตียน เมื่อมองย้อนกลับไป ฉันเชื่อว่าน้ำพระทัยของพระเจ้าสำเร็จแล้วในเวลานั้น
“ลงมา!” เพื่อนของฉันพูดอย่างหนักแน่นกับลูกชายของเธอเมื่อเขาปีนขึ้นบนม้านั่งยาวในโบสถ์และโบกมือ “ผมอยากให้ศิษยาภิบาลมองเห็นผม” เขาตอบอย่างไร้เดียงสา “ถ้าผมไม่ยืนขึ้น เขาจะมองไม่เห็นผม”
แม้การยืนบนม้านั่งอาจเป็นสิ่งที่ไม่สมควรทำสำหรับโบสถ์ส่วนใหญ่ แต่ลูกชายของเพื่อนฉันก็มีเหตุผลที่ดี การยืนขึ้นและโบกมือเป็นวิธีหนึ่งที่จะทำให้ศิษยาภิบาลมองเห็นและสนใจเขา
เมื่อเราพยายามจะเรียกความสนใจจากพระเจ้านั้น เราไม่ต้องกังวลในเรื่องที่จะให้พระองค์มองเห็นเรา เพราะพระเจ้าทรงมองเห็นเราตลอดเวลา พระองค์ทรงเป็นผู้เดียวกับที่ได้เปิดเผยพระองค์เองต่อฮาการ์เมื่อเธออยู่ในช่วงเวลาที่ตกต่ำ โดดเดี่ยวและสิ้นหวังมากที่สุดในชีวิต เธอถูกใช้เป็นเครื่องมือและมอบให้กับอับรามโดยนางซารายภรรยาของท่านเพื่อให้มีบุตรชาย (ปฐก.16:3) และเมื่อเธอตั้งครรภ์ อับรามปล่อยให้ซารายเคี่ยวเข็ญฮาการ์ “นางซารายเคี่ยวเข็ญหญิงนั้น จนนางหนีไปให้พ้นหน้า” (ข้อ 6)
หญิงคนใช้ที่วิ่งหนีไปนั้นกำลังตั้งครรภ์ โดดเดี่ยว และเป็นทุกข์อย่างยิ่ง แต่ในท่ามกลางความสิ้นหวังในถิ่นทุรกันดารนั้น พระเจ้าทรงเมตตาและส่งทูตสวรรค์ไปพูดกับเธอ ทูตสวรรค์บอกเธอว่าพระเจ้าทรง “รับฟังความทุกข์ร้อนของเจ้า” (ข้อ 11) เธอตอบกลับว่า “พระองค์ทรงเป็นพระเจ้า ผู้ทรงเห็นข้าพเจ้า” (ข้อ 13 THSV11)
ช่างเป็นความเข้าใจอันประเสริฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในท่ามกลางถิ่นทุรกันดาร พระเจ้าทรงมองเห็นฮาการ์และทรงมีพระเมตตา และไม่ว่าเรื่องราวจะยากลำบากมากแค่ไหน พระเจ้าก็ทรงมองเห็นคุณเช่นกัน
หนูสอบได้ 84 คะแนน!
ฉันรู้สึกได้ถึงความตื่นเต้นของลูกขณะอ่านข้อความของเธอทางโทร-ศัพท์ เธอเพิ่งเข้าเรียนในชั้นมัธยมปลายและใช้โทรศัพท์ส่งข้อความมาในช่วงพักกลางวัน หัวใจฉันเต้นแรงในฐานะคนเป็นแม่ ไม่ใช่เพียงแค่ลูกสาวของฉันทำคะแนนได้ดีในวิชาที่ยาก แต่เพราะเธอเลือกที่จะสื่อสารกับฉัน เธออยากแบ่งปันข่าวดีของเธอกับฉัน!
เมื่อฉันตระหนักว่าข้อความที่ลูกส่งมาทำให้ฉันมีความสุข ฉันจึงได้คิดว่าพระเจ้าจะรู้สึกอย่างไรเมื่อฉันสื่อสารกับพระองค์ พระองค์ทรงพอพระทัยเมื่อฉันพูดคุยกับพระองค์หรือไม่ การอธิษฐานเป็นวิธีที่เราสื่อสารกับพระเจ้าและเป็นสิ่งที่เราได้รับคำสั่งให้ทำ “อย่างสม่ำเสมอ” (1 ธส.5:17) การสนทนากับพระองค์ย้ำเตือนเราว่าพระองค์ทรงอยู่กับเราทั้งในยามทุกข์และยามสุข แม้พระเจ้าทรงรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับเรา แต่การแบ่งปันเรื่องราวของเรากับพระเจ้านั้นมีประโยชน์ เพราะมันจะเบี่ยงเบนความสนใจของเราและช่วยเราให้คิดถึงพระองค์ อิสยาห์ 26:3 กล่าวว่า “ใจแน่วแน่ [ที่จดจ่ออยู่กับพระองค์]นั้น พระองค์ทรงรักษาไว้ในศานติภาพอันสมบูรณ์ เพราะเขาวางใจในพระองค์” สันติสุขรอเราอยู่เมื่อเราเบนความสนใจไปที่พระเจ้า
ไม่ว่าเราจะเผชิญสิ่งใด ขอให้เราพูดคุยกับพระเจ้าตลอดเวลาและติดต่อกับพระผู้สร้างและพระผู้ช่วยให้รอดของเราอยู่เสมอ จงกระซิบคำอธิษฐาน และไม่ลืมที่จะแสดงความชื่นชมยินดีและ “ขอบพระคุณ” พระองค์ เพราะเปาโลบอกว่านี่คือ “น้ำพระทัยของพระเจ้า” ที่มีต่อเรา (1 ธส.5:18)
ภาพความทรงจำในเฟซบุ๊กปรากฏขึ้นมา โดยแสดงภาพชัยชนะของฉันในวัย 5 ขวบ ที่ชนะเกมการแข่งขันบันไดงูที่แสนสนุก ฉันแท็กภาพนี้ไปหาพี่ชายและน้องสาวเพราะตอนเด็กๆเรามักจะเล่นเกมนี้กัน เกมบันไดงูเป็นหนึ่งในเกมพื้นฐานที่เล่นกันมานานหลายศตวรรษ โดยช่วยให้ผู้คนได้เรียนรู้ที่จะนับเลขและสร้างความตื่นเต้นในการไต่บันไดเพื่อจะชนะการแข่งขันด้วยการไปถึงขั้นที่ 100 ให้เร็วที่สุด แต่จงระวัง! หากคุณหยุดที่ขั้น 98 คุณจะเลื่อนตกลงมาตามความยาวของงูซึ่งทำให้ล่าช้ากว่าเดิมไปจนถึงพ่ายแพ้ได้เลย
นั่นก็เหมือนกับชีวิตไม่ใช่หรือ พระเยซูทรงตระเตรียมเราด้วยความรัก ให้พรักพร้อมสำหรับช่วงเวลาที่มีทั้งขึ้นและลง พระองค์ตรัสว่าเราจะประสบ “ความทุกข์ยาก” (ยน.16:33) แต่พระองค์ได้ประทานข่าวสารแห่งสันติสุขด้วย เราไม่ต้องหวั่นไหวกับการทดลองที่เราเผชิญ เพราะเหตุใดน่ะหรือ เพราะพระคริสต์ได้ทรงชนะโลกแล้ว! ไม่มีสิ่งใดยิ่งใหญ่กว่าฤทธานุภาพของพระองค์ ดังนั้นเราจึงสามารถเผชิญทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับเราด้วย “พระกำลังและฤทธานุภาพอันใหญ่ยิ่ง” ที่พระองค์ประทานให้กับเรา (อฟ.1:19)
ชีวิตก็เหมือนกับเกมบันไดงู ที่บางครั้งก็มีบันไดให้เราปีนขึ้นอย่างมีความสุข และในบางครั้งเราก็ล้มไถลลื่นลงมา แต่เราไม่จำเป็นต้องเล่นเกมแห่งชีวิตโดยปราศจากความหวัง เรามีฤทธิ์อำนาจของพระเยซูที่ช่วยให้เราเอาชนะทุกสิ่งได้
เมื่อทีมบาสเกตบอลจากมหาวิทยาลัยแฟย์เลย์ ดิกคินสัน (เอฟดียู) ได้เข้าร่วมการแข่งขันบาสเกตบอลระดับวิทยาลัย แฟนๆบนอัฒจันทร์ต่างส่งเสียงเชียร์ทีมที่เป็นรอง ทีมไม่คิดว่าพวกตนจะผ่านรอบแรกไปได้ แต่พวกเขาก็ทำได้ และในเวลานี้พวกเขาได้ยินเพลงประจำทีมของตนดังมาจากอัฒจันทร์ทั้งที่พวกเขาไม่ได้มีวงดนตรีมาด้วย วงดนตรีของมหาวิทยาลัยเดย์ตันได้ฝึกเล่นเพลงของทีม เอฟดียูก่อนการแข่งขันไม่กี่นาที พวกเขาจะเล่นเพลงที่พวกเขารู้จักก็ย่อมได้ แต่พวกเขาเลือกที่จะฝึกเล่นเพลงนั้นเพื่อช่วยโรงเรียนอื่นและทีมอื่น
สิ่งที่วงดนตรีนี้ทำสามารถมองได้ว่าเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันที่บรรยายไว้ในพระธรรมฟีลิปปี เปาโลบอกคริสตจักรในยุคแรกที่เมืองฟีลิปปีรวมถึงพวกเราในปัจจุบันนี้ให้ดำเนินชีวิตเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันหรือ “คิดพร้อมเพรียงกัน” (ฟป.2:2) โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพราะพวกเขาเป็นหนึ่งเดียวกันในพระคริสต์ ในการจะทำเช่นนี้ อัครสาวกเปาโลหนุนใจให้พวกเขาละทิ้งการชิงดีกัน และคิดถึงประโยชน์ของผู้อื่นก่อนประโยชน์ของตนเอง
การมองเห็นคุณค่าของผู้อื่นมากกว่าตัวเราคงไม่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ แต่เป็นสิ่งที่เราสามารถทำตามแบบอย่างของพระคริสต์ เปาโลเขียนไว้ว่า “อย่าทำสิ่งใดในทางชิงดีกันหรือถือดี แต่จงมีใจถ่อมถือว่าคนอื่นดีกว่าตัว” (ข้อ 3) แทนที่จะสนใจแต่ตัวเราเอง เป็นการดีกว่าที่เราจะเห็นแก่ “ประโยชน์ของคนอื่นๆด้วย” (ข้อ 4)
เราจะส่งเสริมผู้อื่นได้อย่างไร ก็โดยการคำนึงถึงประโยชน์ของพวกเขา ไม่ว่าจะเป็นการฝึกเล่นเพลงประจำทีมของพวกเขา หรือให้ความช่วยเหลือตามที่พวกเขาต้องการ
หลายปีก่อนที่จะมีการใช้โปรแกรมซูมเป็นเครื่องมือในการสื่อสาร เพื่อนคนหนึ่งขอให้ฉันประชุมกับเธอทางวิดีโอคอลเพื่อหารือเกี่ยวกับโครงการบางอย่าง ข้อความในอีเมลของฉันทำให้เธอรับรู้ได้ว่าฉันสับสน เธอจึงแนะนำให้ฉันหาวัยรุ่นสักคนมาช่วยในการเตรียมใช้วิดีโอคอล
คำแนะนำของเธอชี้ให้เห็นถึงคุณค่าของความสัมพันธ์ระหว่างคนในวัยที่ต่างกัน เราเห็นสิ่งนี้ในเรื่องราวของนางรูธและนาโอมี รูธมักได้รับการยกย่องว่าเป็นลูกสะใภ้ผู้ภักดีที่ตัดสินใจจากบ้านเกิดของตนเพื่อติดตามนาโอมีกลับไปที่เบธเลเฮม (นรธ.1:16-17) เมื่อพวกเธอมาถึง รูธพูดกับนาโอมีว่า “ขอให้ฉันไปที่ทุ่งนาเพื่อจะเก็บรวงข้าวตก [สำหรับเรา]” (2:2) เธอช่วยเหลือแม่สามีผู้ซึ่งต่อมาได้ช่วยให้เธอแต่งงานกับโบอาส คำแนะนำที่นาโอมีบอกแก่รูธทำให้โบอาสดำเนินการเพื่อซื้อที่นาของญาติที่เสียชีวิตไปแล้ว และรับเธอมา “เป็นภรรยา [ของเขา]” (4:9-10)
แน่นอนว่าเราให้ความเคารพในคำแนะนำของผู้ที่แบ่งปันประสบการณ์ชีวิตแก่คนรุ่นหลัง แต่เรื่องของรูธกับนาโอมีทำให้เราตระหนักว่าการแบ่งปันสามารถเกิดขึ้นได้ทั้งสองทาง เราสามารถเรียนรู้บางอย่างได้ทั้งจากผู้ที่อายุน้อยกว่าเราและผู้ที่อายุมากกว่าเรา ให้เรามาช่วยกันพัฒนาความสัมพันธ์แห่งความรักและภักดีระหว่างคนต่างวัยกันเถิด สิ่งนี้จะเป็นพรแก่เราและผู้อื่น และช่วยให้เราได้เรียนรู้ในสิ่งที่เราไม่รู้
เพื่อนของฉันเร่งรีบออกมาจากงานอันเคร่งเครียดที่โรงพยาบาล พร้อมกับคิดว่าจะเตรียมอะไรเป็นอาหารเย็นก่อนที่สามีจะเลิกจากงานซึ่งเคร่งเครียดพอๆกันกลับมาถึงบ้าน เธอปรุงไก่ในวันอาทิตย์และกินอาหารที่เหลือนั้นในวันจันทร์ จากนั้นพวกเขาก็ยังกินไก่อีกครั้งในวันอังคารซึ่งครั้งนั้นเป็นไก่อบ เธอเจอเนื้อปลาสองชิ้นในช่องแช่แข็ง แต่เธอรู้ว่าปลาไม่ใช่ของโปรดของสามี เธอไม่มีอะไรอย่างอื่นอีกแล้วที่จะทำเป็นอาหารเย็นได้ในเวลาสั้นๆ เธอจึงตัดสินใจว่ายังไงก็คงต้องใช้ปลา
ขณะที่วางจานอาหารลงบนโต๊ะ เธอพูดในทำนองขอโทษสามีที่เพิ่งกลับมาถึงบ้านว่า “ฉันรู้ว่านี่ไม่ใช่ของโปรดของคุณ” สามีมองเธอและบอกว่า “ที่รัก แค่เรามีอาหารบนโต๊ะผมก็มีความสุขแล้ว”
ท่าทีนี้ของเขาทำให้ฉันคิดถึงความสำคัญของการรู้สึกสำนึกและขอบพระคุณสำหรับการเลี้ยงดูในแต่ละวันจากพระเจ้า ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นอะไรก็ตาม การขอบพระคุณสำหรับอาหารประจำวันหรือก่อนมื้ออาหารเป็นการทำตามแบบอย่างของพระเยซู เมื่อพระองค์รับประทานอาหารกับสาวกสองคนหลังจากทรงฟื้นคืนพระชนม์ พระคริสต์ทรง “หยิบขนมปัง โมทนาพระคุณ แล้วหักส่งให้เขา” (ลก.24:30) พระองค์ทรงขอบพระคุณพระบิดาเหมือนก่อนหน้านี้ที่ได้ทรงเลี้ยงคนห้าพันคนด้วย “ขนมบารลีห้าก้อนกับปลาสองตัว” (ยน.6:9) เมื่อเราขอบพระคุณสำหรับอาหารประจำวันและสำหรับการทรงจัดเตรียมอื่นๆ ความสำนึกในพระคุณของเราสะท้อนพระลักษณะของพระเยซูและเป็นการถวายเกียรติแด่พระบิดาในสวรรค์ของเรา ให้เราขอบพระคุณพระเจ้าในวันนี้
เย็นวันหนึ่ง ฉันสังเกตเห็นแนวกองดินเป็นระเบียบเรียบร้อยในที่พื้นที่ว่างใกล้บ้าน แต่ละแถวมีใบสีเขียวขนาดเล็กที่มีดอกตูมเล็กๆโผล่ออกมา เช้าวันต่อมา ฉันหยุดเดินเมื่อเห็นดอกทิวลิปสีแดงสวยงามผุดออกมาเป็นหย่อมๆ
ฤดูใบไม้ร่วงที่ผ่านมา คนกลุ่มหนึ่งได้เพาะต้นอ่อนหนึ่งแสนต้นทั่วพื้นที่ว่างทางตอนใต้ของเมืองชิคาโก พวกเขาเลือกสีแดงเพื่อเป็นสัญลักษณ์การแบ่งแยกพื้นที่ที่มีความเสี่ยง (การเลือกปฏิบัติจากธนาคารในการปล่อยสินเชื่อ) ซึ่งส่งผลกระทบต่อย่านที่ชนกลุ่มน้อยส่วนใหญ่อยู่อาศัย ดอกทิวลิปเป็นสัญลักษณ์ถึงบ้านเรือนของคนจำนวนมากที่ควรจะอยู่ในพื้นที่แถบนั้น
ประชากรของพระเจ้าได้อดทนต่ออุปสรรคมากมาย นับตั้งแต่การถูกเนรเทศจากบ้านเกิดเมืองนอนไปจนถึงการถูกเลือกปฏิบัติเหมือนการกั้นพื้นที่สีแดง กระนั้นเราก็ยังพบความหวังได้ อิสยาห์เตือนคนอิสราเอลในช่วงที่ตกเป็นเชลยว่าพระเจ้าจะไม่ทรงละทิ้งพวกเขา พระองค์จะมอบ “มาลัย” ให้พวกเขาแทนขี้เถ้า แม้แต่คนยากจนก็จะได้รับ “ข่าวดี” (61:1) พระเจ้าทรงสัญญาจะเปลี่ยนจิตใจที่ท้อถอยเป็น “ผ้าห่มแห่งการสรรเสริญ” ภาพทั้งหมดนี้ทำให้ระลึกถึงความงดงามอันทรงสง่าราศีของพระองค์ อันจะนำมาซึ่งความยินดีแก่คนทั้งหลายซึ่งตอนนี้จะเป็น “ต้นก่อหลวงแห่งความชอบธรรม” แทนการเป็นเชลยที่ไม่มีความหวัง (ข้อ 3)
ดอกทิวลิปเหล่านั้นยังแสดงให้เห็นว่าพระเจ้าสามารถสร้างความงดงามจากกองดินและการแบ่งแยก ฉันเฝ้ารอที่จะได้เห็นดอกทิวลิปทุกฤดูใบไม้ผลิ และที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือการปลุกความหวังใหม่ให้กับเพื่อนบ้านของฉันและชุมชนอื่นๆ
หลังจากเอาเมล็ดพืชสองสามเมล็ดใส่ลงในดินในกระถางที่สวนหลังบ้าน ฉันก็รอดูว่าผลจะเป็นอย่างไร ฉันอ่านข้อมูลที่บอกว่าเมล็ดจะงอกภายในสิบถึงสิบสี่วัน ฉันจึงตรวจดูบ่อยๆตอนรดน้ำ ไม่ช้าฉันก็เห็นใบไม้สีเขียวสองสามใบโผล่ขึ้นมาจากดิน แต่ความดีใจของฉันสลายไปอย่างรวดเร็วเมื่อสามีบอกว่านั่นเป็นวัชพืช เขาบอกให้ฉันรีบถอนมันออกเพื่อไม่ให้มันรบกวนต้นไม้ที่ฉันพยายามจะปลูก
พระเยซูก็ทรงบอกถึงความสำคัญของการจัดการกับผู้บุกรุกที่สามารถขัดขวางการเติบโตฝ่ายวิญญาณของเรา พระองค์ทรงอธิบายส่วนหนึ่งของคำอุปมาของพระองค์ดังนี้ว่า เมื่อผู้หว่านหว่านเมล็ดพืช บางส่วนก็ “ตกกลางต้นหนาม ต้นหนามก็งอกขึ้นปกคลุมเสีย” (มธ.13:7) หนามหรือวัชพืชจะหยุดการเจริญเติบโตของพืชนั้น (ข้อ 22) และความกังวลจะทำให้การเติบโตฝ่ายวิญญาณของเราหยุดชะงักอย่างแน่นอน การอ่านพระคัมภีร์และอธิษฐานเป็นวิธีที่ดีมากในการเติบโตขึ้นในความเชื่อ แต่ฉันพบว่าฉันต้องคอยเฝ้าระวังหนามแห่งความกังวลที่จะมา “รัด” พระวจนะที่ถูกปลูกไว้ในตัวฉัน ซึ่งทำให้ฉันจดจ่ออยู่กับความผิดพลาดที่อาจจะเกิดขึ้น
ผลของพระวิญญาณที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ ได้แก่ ความรัก ความปลาบปลื้มใจ สันติสุข (กท.5:22) แต่เพื่อให้เราเกิดผลเหล่านั้น เราต้องอาศัยกำลังจากพระเจ้าเพื่อจะถอนวัชพืชแห่งความสงสัยหรือความกังวลใดๆ ที่อาจทำให้เราเสียสมาธิและมุ่งความสนใจไปยังสิ่งอื่นที่ไม่ใช่พระเจ้า